สักแต่พัฒนาได้อย่างไร ถ้าคนไทยยังไม่รู้จักคิด

                 ท่านลองสังเกตบ้างหรือไม่ว่า การศึกษาไทยนั้นยังไม่มีคุณภาพ เพียงเปิดใจรับฟังปัญหาการศึกษา หรือลองคิดทบทวนในหลายๆ อย่าง จะพบว่า การศึกษาของไทยนั้นสอนให้จำมากกว่าสอนให้คิด  ทั้งที่บอกว่าให้ผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง (Child Center) ในการเรียนรู้  ใช้เป็นหลักการพัฒนาการศึกษา  แต่ในความเป็นจริงนั้น  จริงหรือที่ผู้เรียนมีการพัฒนา  เพราะยังเป็นแค่ทฤษฎี แต่ในการปฏิบัติยังใช้ไม่ได้  ต่างจากต่างชาติสอนให้คิดมากกว่าจำ

                  คนไทยยังคงใช้การสอนที่สอนให้กลัว ทำให้เด็กไทยนั้นไม่กล้าคิด ไม่กล้าทำ ไม่กล้าแสดงออก แม้แต่จะลองยังไม่กล้า  เมื่อเปรียบเทียบกับประเทศทางยุโรปแล้ว  ประเทศไทยยังด้อยกว่ามากในหลายๆ ด้าน  เช่น ชาวต่างชาติสอนให้กล้าที่จะพูด  ให้แสดงออก  พูดกันได้ทุกเรื่อง  อย่างเป็นเหตุเป็นผล  แต่คนไทยนั้นบางเรื่องไม่พูดถึงกัน  ถ้าพูดจะดูไม่ดีในสังคมไทย เช่น การพูดวิจารณ์การสอนของครู หรือผู้บริหารสถานศึกษา ในประเทศยุโรปสามารถพูดกันอย่างเสรี  แต่หากเด็กไทยพูดบ้างอาจจะเสี่ยงโดนไล่ออกเอาง่ายๆ  อีกเรื่องหนึ่งคือ เรื่องเพศ  ชาวต่างชาติพูดกันเป็นธรรมดาปกติ  แต่คนไทยกลับมองว่าเป็นเรื่องที่ไม่ควรพูดถึง  เป็นเรื่องสกปรก  เด็กยังไม่ควรรู้  แทนที่จะสอนให้รู้กลับเป็นว่าบิดเบือนจนทำให้เกิดความเข้าใจผิด

                  จุดประสงค์การเรียนรู้ในการศึกษาไทยสูงเกินไป  สังเกตหรือไม่  เวลาไปโรงเรียนหรือเรียนวิชาในด้านต่างๆ หนังสือที่เรียนเล่มหนาเป็นปึกๆ กะว่าจะให้เด็กเรียนทั้งเล่มแล้วเป็นปรมาจารย์ไปเลยทีเดียว  หนังสือที่หนาๆ แต่กลับเรียนแค่บางส่วนในหนังสือเท่านั้น  แล้วจะซื้อเล่มหนาทำไม  ในเมื่อจะสอนแค่บางเรื่องในหนังสือ  แต่ประเทศยุโรปสอนให้คิดเป็นเรื่อง  ส่วนหนังสือเอาไว้แค่อ่านศึกษาเพิ่มเติม  เรื่องนี้สอนให้รู้ว่า การศึกษาของไทยนั้นอัดเนื้อหามากเกินไป ซึ่งเด็กไม่สามารถจำได้หมด  แบบว่าถ้าจำได้หมดก็เรียนจบปริญญาเอกเป็นด๊อกเตอร์ไปเลยอย่างนั้น

                  เพราะด้วยสาเหตุความกลัวนี่เอง ที่ทำให้เด็กไทยไม่กล้าแสดงออกเท่าที่ควร ตั้งแต่เด็กก็โดนอาจารย์เอาเนื้อหามายัดมาป้อนให้เรื่อยๆ จนเด็กคิดเองไม่เป็น  ต้องรอการป้อนความรู้จากอาจารย์ตั้งแต่เล็กจนโต  จนกลายมาเป็นผู้ใหญ่ที่ไร้คุณภาพ คอยทำตามคนส่วนมากในสังคม
                  จะดีกว่าหรือไม่  ถ้าทุกคนได้คิดได้ตัดสินใจจากดุลพินิจของตนเอง  ตัดสินว่าถูกหรือผิด  และผลักดันให้เด็กรุ่นใหม่มีความกล้าแสดงออก  สอนให้กล้า  มิใช่สอนให้กลัว  หรือจะปล่อยให้การศึกษาถูกบดบังด้วยความกลัวต่อไป  แล้วรอการช่วยเหลือจากรัฐบาลให้เป็นผู้ที่กำหนดการศึกษาของเด็ก  แล้วทำไมเราไม่เป็นคนกำหนดการศึกษาของเด็กไทยเองหละ สิ่งเหล่านั้นมันต้องเริ่มที่ตัวท่าน
                   หากจะบอกว่าการศึกษาไม่มีปัญหา  ที่จริงมันมีและเกิดขึ้นจริง  แต่อยู่ที่ตัวท่านว่า ท่านกล้าพอที่จะพูดมันออกมาหรือเปล่า  ทำในสิ่งที่ถูกต้อง  หาโอกาส  หาความรู้ใหม่ ที่เกิดประโยชน์ต่อตนเองและสังคมเพื่อเยาวชนคนรุ่นหลังต่อไป
                 
สติมา  นารีนุช
นักวิชาการศึกษา